Fri. Apr 19th, 2024
ลักซ์ชัวรี

‘เที่ยวหรู อยู่แพง!’ ตลาด ‘ลักซ์ชัวรี’ มีดีต้องเจาะ ฝ่าพายุเศรษฐกิจโลกถดถอย!

‘เที่ยวหรู อยู่แพง’ ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวกลุ่ม ‘ลักซ์ชัวรี’ กระเป๋าหนัก พร้อมจ่าย ได้กลายเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่เติบโตมากที่สุดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หนุนธุรกิจโรงแรม 5-6 ดาวฟื้นตัวเร็ว กลับมาแข็งแกร่ง เป็นดาวเด่นกู้หน้า ไม่ต้องกังวลปัญหาเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกถดถอย!

คุณยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากความท้าทายของเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 ททท. จึงวางกลยุทธ์การตลาดโดยการดึง ‘กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูง’ เจาะหลายเซ็กเมนต์ย่อยให้ตรงจุด ทั้งตามแบบจำลองกลุ่มบุคคล (Persona) จำนวน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ

นอกจากนี้ยังได้แบ่งเซ็กเมนต์ตามช่วงวัยประชากร 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมิลเลนเนียลส์ (Millennials) กับกลุ่มแอคทีฟ ซีเนียร์ (Active Senior) และแบ่งตามพฤติกรรม 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical & Wellness) และกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความใส่ใจในการเดินทาง (Conscious Travelers) ตอบโจทย์การท่องเที่ยวเทรนด์ใหม่ มุ่งใส่ใจความยั่งยืน

คุณอี้ห่าว ซื่อ กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง HoteLux แอปพลิเคชันใหม่ล่าสุดที่มาเปิดตัวในประเทศไทย โดยให้บริการจองโรงแรมหรู ตั้งเป้าเจาะตลาดนักท่องเที่ยว ‘กลุ่มไฮเอนด์’ กล่าวว่า หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวที่ประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น ทำให้ได้เห็นศักยภาพของตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ชัวรีในประเทศไทย จึงเข้ามาขยายตลาด ‘HoteLuxapp.com’ ซึ่งให้บริการจองที่พักระดับลักซ์ชัวรี และเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกส่วนบุคคลสำหรับสมาชิกที่ได้รับเชิญเท่านั้น ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนของสมาชิกที่สามารถใช้งานได้ทั้งระบบ iOS และ Android ใช้งานง่าย สะดวก และปลอดภัย ชูจุดขายที่สามารถเชื่อมต่อสมาชิกให้เข้าถึงกลุ่มโรงแรมหรูชั้นนำทั่วโลก และโปรแกรมสิทธิพิเศษมากมาย รวมถึงการสะสมคะแนนที่คุ้มค่ามากกว่าที่เคย

กลุ่มเป้าหมายของ HoteLux คือ ผู้ใช้แอปพลิเคชันที่มีอายุระหว่าง 25-45 ปี เป็น ‘นักเดินทางยุคดิจิทัล’ มีความถี่ในการเดินทางมากขึ้น และระยะทางไกลขึ้น มองหาการท่องเที่ยวผ่านเทคโนโลยีสุดล้ำ

“เราเล็งเห็นว่าเทรนด์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่เปลี่ยนไป ต้องการความยืดหยุ่น ความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ผู้ให้บริการท่องเที่ยวลักซ์ชัวรีแบบดั้งเดิมไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้ จึงเป็นที่มาของ HoteLux ที่จะทำให้ทริปของนักท่องเที่ยวยุคดิจิทัลลงตัวกว่าที่เคย ด้วยการจองที่พักที่ง่าย สะดวกสบาย ไร้รอยต่อ ไม่ต้องส่งอีเมลไปมา และยังจะได้รับสิทธิประโยชน์จากข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย”

ทั้งนี้ มองว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและเติบโตเต็มที่ของโลก โดยการเดินทางแบบลักซ์ชัวรีเป็นหนึ่งในเซ็กเมนต์ที่เติบโตดีที่สุดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงกลุ่ม ‘ดิจิทัล นอแมด’ (Digital Nomad) ที่ทำงานได้จากทุกที่

คุณสาวิตรี รมยะรูป กรรมการผู้จัดการ ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้ เล่าว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มลักซ์ชัวรีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในยุคหลังโควิด-19 เห็นได้จากห้องพักโรงแรมแบบสวีทราคาสูง มียอดขายที่ดี นอกจากนี้ยังมี Pent Up Demand ฟื้นตัวเร็ว หลังนักท่องเที่ยวต้องชะลอการเดินทางในช่วงโควิด-19 ระบาด ประกอบกับสถานการณ์ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนของกรุงเทพฯ ยังต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาประเทศไทยมากขึ้น เพราะคุ้มค่าเรื่องค่าใช้จ่ายในภาวะ ‘เศรษฐกิจถดถอย’ แบบนี้

ด้วยศักยภาพของตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ชัวรี เครือชาเทรียมฯ จึงเปิดตัวโครงการใหม่ ‘ชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ’ มีจำนวนห้องพัก 582 ห้อง ภายในตึกแฝดดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ เปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ชาเทรียม ฮอสพิทอลลิตี้ ใช้เงินลงทุน 5,500 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน) พัฒนาโครงการนี้บนทำเลย่านสยาม ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิงชื่อดัง ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดตัวแบรนด์โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวพลัส ‘ชาเทรียม แกรนด์’ แห่งแรกของแบรนด์นี้อีกด้วย

ด้าน คุณณฤทธิ์ เจียอาภา ประธานกลุ่มบริษัท ชาร์เตอร์ สแควร์ โฮลดิ้ง จำกัด เล่าว่า กลุ่มชาร์เตอร์ฯ เห็นศักยภาพของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ชัวรี จึงพัฒนาโรงแรม ‘แอนดาซ พัทยา จอมเทียน บีช’ มีห้องพักและห้องสวีทรวมทั้งสิ้น 204 ห้อง บนที่ดินมรดกของตระกูลเจียอาภาขนาด 38 ไร่ ริมหาดตะวันรอน มูลค่ากว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,300 ล้านบาท) เตรียมเปิดให้บริการในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ส่วนเหตุผลที่เลือกใช้ แบรนด์ “แอนดาซ” (Andaz) ของเครือไฮแอท (Hyatt) เป็นเพราะต้องการแบรนด์โรงแรมลักซ์ชัวรีที่มีความสดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีนักลงทุนรายใดใช้แบรนด์นี้ในพัทยา

ไฮไลต์ของโรงแรม คือ ‘บ้านทรงไทยประยุกต์’ ซึ่งได้รับการดัดแปลงเป็นที่พักที่มีมูลค่าสูงที่สุดของโรงแรม ได้แก่ ‘Manor House’ วิลล่า 2 ชั้น 4 ห้องนอน และ ‘Presidential Heritage House’ บ้านทรงไทย 6 ห้องนอน โดยวิลล่าและบ้านทรงไทยทั้งสองนี้มีสระว่ายน้ำและสวนส่วนตัว มอบประสบการณ์แก่ผู้เข้าพักให้รู้สึกเสมือนชาวชุมชนท้องถิ่น ราคาสูงสุดอยู่ที่ 500,000 บาทต่อคืน สำหรับ Presidential Heritage House 6 ห้องนอน

“มองย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน พัทยาเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมามากก็จริง แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นระดับกลาง ยังไม่ค่อยมีโรงแรมที่พักระดับลักซ์ชัวรีมากนัก ปัจจุบันน่าจะมีไม่กี่สิบแห่งเท่านั้น ทั้งที่กลุ่มเป้าหมายไฮเอนด์พร้อมจับจ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนและนักธุรกิจที่เดินทางมาพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC รวมถึงกลุ่มเซเลบ และกลุ่มลักซ์ชัวรีแฟมิลี่ พอเริ่มมีโรงแรมระดับ 5 ดาวมากขึ้น ก็พบว่าคนเข้าพักเต็ม โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด”

ทั้งหมดนี้ คือ อินไซต์ของผู้พัฒนาโรงแรมและบริการเจาะตลาดนักท่องเที่ยว ‘กลุ่มลักซ์ชัวรี’ ที่ต่างเห็นต้องตรงกันว่าศักยภาพการจับจ่ายของตลาดนี้จะช่วยพาแบรนด์ฟันฝ่าอุปสรรคสำคัญ นั่นคือ ‘ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย’ ในปี 2566

ขอบคุณภาพโดย : Lifeforstock on Freepik

Leave a Reply

Or

Your email address will not be published. Required fields are marked *