ความท้าทายหนึ่งของผู้ประกอบการโรงแรมในปัจจุบัน คือ การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มประชากรเอเชียรุ่นใหม่ หรือ ‘เอเชียน มิลเลนเนียลส์’ ซึ่งเกิดระหว่างปี 2524-2538 ให้อยู่หมัด
เพราะถือเป็นกลุ่มที่เปี่ยมด้วยศักยภาพสูงมาก และมีโอกาสเติบโตอย่างมหาศาล จากแนวโน้มรายได้และรายจ่ายสูงสุดในอีก 10 ปีข้างหน้ามีการคาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2563 จะมีเม็ดเงินสะพัดจากนักท่องเที่ยวกลุ่มเอเชียนมิลเลนเนียลส์ ใช้จ่ายในต่างแดนเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.6 เท่า เป็นเงินประมาณ 3.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 12 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่าในปี 2568 กลุ่มมิลเลนเนียลส์ จะมีมากถึง 75% ของคนวัยทำงานทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวควรทำ คือ การพัฒนาไอเดียใหม่ๆ ทั้งในแง่สินค้าและบริการ เพราะนอกจากจะสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้แล้ว ยังดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมงานกับเราได้ด้วย
พฤติกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจของกลุ่มเอเชียน มิลเลนเนียลส์ ถือเป็นกลุ่มที่มีความรู้ทางเทคโนโลยีมากๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนรุ่นก่อนๆ นอกจากนี้ ยังนิยมแชร์เรื่องราวชีวิตผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก และรักการหาข้อมูลบนโลกออนไลน์เป็นชีวิตจิตใจ กลุ่มเอเชียนมิลเลนเนียลส์ จึงมองหา 3 สิ่งสำคัญในชีวิต ได้แก่ สมาร์ทโฟน ความง่าย และความเป็นส่วนตัว ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะนิยมเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง และวางแผนการท่องเที่ยวอย่างยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องเดินทางตามแผนอย่างเคร่งครัดเสมอไป ถือคติประจำใจ “หลงทางบ้างก็ดี ชีวิตจะได้มีสีสัน” นอกจากนี้ ยังเป็นกลุ่มที่มีความจงรักภักดี (ลอยัลตี้) ต่อแบรนด์ค่อนข้างต่ำ พิจารณาเรื่องของราคาสินค้าท่องเที่ยวเป็นหลัก ชาติที่นิยมมองหาดีลสินค้าท่องเที่ยวราคาถูก คือ จีนและสิงคโปร์ เมื่อดูเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลส์แล้ว พบว่ามีการเดินทางเที่ยวต่างประเทศบ่อย เฉลี่ยถึง 4 ครั้งต่อปี พำนักครั้งละประมาณ 4 คืน และยังใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวมิลเลนเนียลส์ชาติอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย และอินโดนีเซีย ประมาณ 2 เท่า
ด้านจุดหมายปลายทางยอดนิยม นักท่องเที่ยวกลุ่มมิลเลนเนียลส์ให้ความสำคัญกับสถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก เพราะความหลากหลาย ทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่าง แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่น และสีสันของแต่ละเมืองอันชวนสะดุดตาสะดุดใจ ส่งผลให้ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้เติบโตต่อเนื่องกว่า 3 เท่าตัว หรืออยู่ที่ประมาณ 210 ล้านคน นักท่องเที่ยวกลุ่มเอเชียนมิลเลนเนียลส์ครองสัดส่วนสูงกว่า 60% การโปรโมทท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยงในภูมิภาค นับเป็นความท้าทายสำคัญที่ชาติอาเซียนต้องเร่งพัฒนาสินค้า มุ่งสู่เป้าหมายการเป็นจุดหมายเดียวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
สำหรับภาพรวมพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่น่าจับตามองในปี 2559 มีด้วยกันถึง 7 เทรนด์หลัก ที่อยากหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง หลังเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอของความต้องการนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเอเชียแปซิฟิกที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
- สมาร์ทโฟน นักท่องเที่ยวมักนิยมมองหานวัตกรรมและทางเลือกในการจองห้องพักที่สะดวกรวดเร็ว รวมถึงความคล่องตัวในการเดินทาง อุปกรณ์สื่อสาร (ดีไวซ์) โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนในมือนักท่องเที่ยวจึงเข้ามามีบทบาทในการจองห้องพักอย่างสะดวกสบาย ตอบโจทย์การเดินทางได้เป็นอย่างดี
- ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลโรงแรม ด้วยเทคโนโลยี ทำให้นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกับการอ่านและเขียนรีวิวท่องเที่ยวผ่านเว็บไซต์ของ ‘ออนไลน์ แทรเวล เอเยนต์’ หรือ โอทีเอ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกห้องพักโดยอ้างอิงจากการจัดอันดับในหมวดหมู่ต่างๆ เช่น คุณภาพของการให้บริการ ความสะอาดของห้องพัก และความสะดวกสบายต่างๆ ข้อมูลรีวิวเหล่านี้ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการจองห้องพัก นักท่องเที่ยวจะเชี่ยวชาญด้านการรีวิวมากขึ้น และยังชื่นชอบการรีวิวที่จริงใจมากขึ้นอีกด้วย
- การจองห้องพักแบบลาสต์ มินิท เทรนด์การจองห้องพักแบบนาทีสุดท้าย (ลาสต์ มินิท) จะมีให้เห็นมากขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะนักท่องเที่ยวอาจมีเวลาไม่เพียงพอกับการจองห้องพักล่วงหน้า รู้ตัวว่าพร้อมเดินทางเมื่อไหร่ ก็ค่อยจองเมื่อนั้น ดีลห้องพักตามเว็บไซต์ของโอทีเอจำนวนมากมักเสนอส่วนลดราคาห้องพักแบบลาสต์มินิท ประกอบกับนักท่องเที่ยวเองก็เริ่มจับทางได้ว่า ราคาห้องพักจากการจองแบบลาสต์มินิทนั้น ไม่ได้ต่างจากการจองล่วงหน้าหลายๆ เดือนเลย โดยเฉพาะในจุดหมายที่มีปริมาณห้องพักล้นตลาด เช่น ประเทศไทย
- การสร้างลอยัลตี้โปรแกรม จากเทรนด์นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มจงรักภักดีต่อแบรนด์น้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลส์ ที่ให้ความสำคัญกับราคามากกว่า การพัฒนาลอยัลตี้โปรแกรมนับเป็นกลยุทธ์สำคัญของโรงแรมในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มเข้าพักซ้ำ ผ่านการเสนอข้อดีของการสมัครโปรแกรมว่าสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยผู้ประกอบการโรงแรมต้องออกแบบลอยัลตี้โปรแกรมให้ดี เพราะโอทีเอเองก็มีลอยัลตี้โปรแกรมเช่นกัน เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาจองผ่านเว็บไซต์ เพื่อรับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น ส่วนลด ของแถม บัตรของขวัญ นอกจากนี้ OTA (Online Travel Agency) บางเจ้า ยังมีบริการพิเศษอื่นๆ เช่น ประกันการเดินทาง ค่าธรรมเนียมวีซ่า และเครื่องกระจายสัญญาณ WiFi
- ขาขึ้นของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Bleisure นี่คือส่วนผสมของนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน (Leisure) กับนักเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Traveller) ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง Global Business Travel Association ระบุว่าว่าในปี 2561 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ครองส่วนแบ่งตลาด 5% พฤติกรรมการเที่ยวก็จะเปลี่ยนไปด้วย โดยมีแนวโน้มว่านักธุรกิจที่เดินทางไปทำงาน จะยืดเวลาพักออกไป เพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวและพักผ่อนกับครอบครัวมากขึ้น
- แนวโน้มการใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทางจะเพิ่มขึ้น รายงานขององค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO World Tourism Barometer) ระบุว่า มีนักท่องเที่ยวขาออก (เอาต์บาวนด์) ในประเทศจีน เติบโตในระดับ 2 หลัก หนุนให้จุดหมายซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีน อาทิ ไทย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในยุโรป ได้รับผลประโยชน์ นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญที่กำลังเติบโตด้านท่องเที่ยว โดยจีนและอินเดียมีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวที่ขยายตัวถึง 2 หลัก
- การสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวตามความต้องการ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ประสบการณ์การเข้าพักและท่องเที่ยวที่ต้องการ หากโรงแรมสามารถคิดค้นพัฒนาบริการที่แปลกใหม่เกินความคาดหมาย รับรองได้เลยว่าจะยิ่งได้ใจนักท่องเที่ยวไปอีกเป็นกอง