Fri. Mar 29th, 2024
เปิดใจเจ้าของ “ปีปอินน์” ม่านรูดในตำนาน ในวันที่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าเปลี่ยน ไม่ต้องพึ่ง “สวรรค์ชั่วคราว” อีกต่อไป

เปิดใจเจ้าของ “ปีปอินน์” ม่านรูดในตำนาน ในวันที่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าเปลี่ยน ไม่ต้องพึ่ง “สวรรค์ชั่วคราว” อีกต่อไป

ย้อนหลังไปในอดีตสัก 20-30 ปีก่อนหน้านี้ ช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ “14 กุมภาพันธ์” วันแห่งความรัก ธุรกิจที่เฟื่องฟู ไม่ได้มีแค่ตลาดดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต หรือร้านอาหารเท่านั้น แต่ธุรกิจหนึ่งที่เบ่งบานพอๆ กับดอกกุหลาบ ก็เห็นจะเป็น โรงแรมม่านรูด นี่แหละ เพราะเป็นสถานที่สร้างสัมพันธ์ระหว่างคู่รักให้แนบแน่นยิ่งขึ้น มันคือ “สวรรค์ชั่วคราว-ความสุขชั่วคืน” ที่คู่รักเติมเต็มให้แก่กันมาโดยตลอด

แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป จุดสุดท้ายของการฉลองวันวาเลนไทน์ ไม่จำเป็นต้องไปจบลงที่ “โรงแรมม่านรูด”​ อีกต่อไปแล้ว แม้ว่ารูปความรักของหนุ่ม-สาวยังคงเหมือนเดิม เพราะหากมีโอกาสและความพร้อม ก็ยังคงสร้างสัมพันธ์ทางเพศระหว่างกัน แต่สถานที่อย่าง “โรงแรมม่านรูด” คนยุคใหม่โดยเฉพาะวัยต่ำกว่า 35 ปี ไม่เลือกจะใช้บริการ สาเหตุมีทั้งอาจจะไม่รู้จัก และมีสถานที่เป็นทางเลือกอื่นๆ มากมาย

เปิดใจเจ้าของ “ปีปอินน์” ม่านรูดในตำนาน ในวันที่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าเปลี่ยน ไม่ต้องพึ่ง “สวรรค์ชั่วคราว” อีกต่อไป

ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ Disrupt ธุรกิจ “ม่านรูด”

คุณสรัญ​ ลิ้มสวัสดิ์วงศ์ เจ้าของกิจการโรงแรมม่านรูด ปีป อินน์ (PEEP INN) เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันไม่ใช่ยุคทองของโรงแรมม่านรูดแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อ 20-30 ปีก่อน มันเลยจุดพีคของธุรกิจมาแล้ว โรงแรมม่านรูดค่อยๆ ทยอยปิดตัว ล้มหายตายจากสังเวียนธุรกิจ สิ่งสำคัญสุดที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจ คือ ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ใช่โรงแรมม่านรูด เป็นสถานที่นัดพบ แสดงความรักระหว่างคู่รัก ต่างจากคนยุคก่อน โรงแรมม่านรูด คือหนึ่งสถานที่เที่ยว และการพบปะกันของคู่รัก

ในอดีตโรงแรมปีป อินน์ คือ “ม่านรูด” ชั้นดีเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนนักรัก และคู่รักจำนวนมาก จะเรียกว่าเป็น “ม่านรูดในตำนาน” ก็ไม่ผิดนัก ปัจจุบันกลุ่มคนที่เป็นลูกค้าเหล่านั้นมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ความเฟื่องฟูและรุ่งเรืองของโรงแรมปีป อินน์ วัดได้จากจำนวนสาขามากถึง 4 แห่ง ได้แก่ สาขาหัวหมาก รัชดาภิเษก สุขุมวิท และรัตนาธิเบศร์ รวมจำนวนห้องกว่า 700 ห้อง แต่วันนี้เหลือสาขาให้บริการอยู่แค่ 2 แห่ง ที่รัชดาและรัตนิเบศร์ รวม 70 ห้อง เรียกได้ว่าจำนวนห้องลดลงถึง 10 เท่า

ยุคทองของโรงแรมม่านรูดในอดีต อยู่ในช่วงปี 2530-2535 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูและรุ่งเรืองสุดๆ อัตราการใช้บริการโรงแรมม่านรูดมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบปัจจุบัน ยิ่งในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ คู่รักก็แห่มาใช้บริการชนิดห้องพักเต็มหมดทุกห้อง จนต้องจอดรถรอต่อคิวเข้าใช้บริการ ก็เคยปรากฎขึ้นแล้ว หรือแม้แต่ไม่ใช่เทศกาลแห่งความรัก เทศกาลอื่นๆ อย่างปีใหม่ สงกรานต์ หรือลอยกระทง โรงแรมม่านรูดก็เป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนของคู่รัก ซึ่งควงคู่กันมาเปิดใช้บริการ จะแบบชั่วคราว 3 ชั่วโมงหรือค้างคืนก็แล้วมีทุกรูปแบบ

ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ที่เปลี่ยนไป แต่คู่แข่งของโรงแรมม่านรูดก็เกิดขึ้นมากมาย ทั้งปริมาณและความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายวัน โรงแรมระดับ 3-4 หรือแม้แต่ Airbnb ต่างจากอดีตกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีน้อยจนใช้นิ้วมือนับได้

นอกจากนี้ คนสมัยก่อนก็พักอาศัยอยู่กับครอบครัวหรือกับพ่อแม่ ไม่ได้พักอาศัยในหอพักหรือคอนโดมิเนียม ทางเลือกของคู่รักจะได้พบปะเจอะเจอกันเพื่อสานสัมพันธ์ และสร้างความรัก โรงแรมม่านรูดจึงเป็นตัวเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

“เมื่อก่อนคู่รัก 80% ใช้โรงแรมม่านรูดใช้นัดเจอกัน คนเดี๋ยวนี้มีทางเลือกเยอะ และคิดว่าโรงแรมม่านรูด เป็นสถานที่ไม่เหมาะกับเขา”

ขายที่ดินทำคอนโดฯ คุ้มค่ากว่า

เมื่อคู่รักไม่เลือกใช้ โรงแรมม่านรูด ในการสร้างความสุข ปริมาณลูกค้าที่น้อยลง สวนทางกับราคาที่ดินซึ่งปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งทำเลใจกลางเมืองหรือติดถนนใหญ่ ราคาที่ทะยานขึ้นไปมาก การเก็บธุรกิจโรงแรมม่านรูดเอาไว้ ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของรวยขึ้น ขายทิ้งดีกว่าหรือไม่ก็เปลี่ยนมาทำอย่างอื่นแทน เพราะให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่ามาก โรงแรมม่านรูดหลายแห่งจึงถูกดีเวลอปเปอร์อสังหาฯ มาซื้อไปพัฒนาเป็นโครงการคอนโดฯ​ อยู่หลายแห่ง

คุณสรัญ เล่าว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในเมืองทำให้โรงแรมม่านรูดในเมืองปิดกิจการลงหมด ถ้าไม่ขายที่ดินก็เปลี่ยนไปทำกิจการอย่างอื่น เพราะถือว่าผลตอบแทนจากการทำโรงแรมม่านรูดไม่คุ้มค่ากับราคาที่ดิน หากให้ประเมินปริมาณโรงแรมม่านรูดปัจจุบันน่าจะเหลือให้บริการอยู่เพียง 25% เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ตามชานเมืองเป็นหลัก โดยปีปอินน์เป็นหนึ่งในจำนวนโรงแรมรูดที่เหลืออยู่ และจะยังคงไว้โดยไม่คิดขาย หรือปรับเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ซึ่งปัจจุบันฐานลูกค้าและรายได้จากธุรกิจม่านรูดเริ่มอยู่ในสภาวะนิ่งไม่ “ลดหรือเพิ่ม” ไปกว่าเดิมแล้ว ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีตลาดเฉพาะกลุ่ม และยังคงอยู่ได้แม้จะไม่ได้สร้างรายได้แบบมากมายเหมือนในอดีตก็ตาม

“คงไม่ขาย จะเก็บไว้ ทำแบบสนุกๆ และคงไม่ได้ขยายหรือปรับปรุงอะไร เพราะเป็นธุรกิจดาวร่วง มันเอ้าท์ มันหมดยุค ฐานลูกค้าเปลี่ยนต่อให้พัฒนาแค่ไหน ก็ไม่มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นกว่านี้”

คุณสรัญ เล่าอีกว่า ครั้งหนึ่งเคยมีความคิดจะปรับปรุงโรงแรมปีปอินน์ ให้เป็นโรงแรมแบบในญี่ปุ่น ซึ่งเป็น Love Hotel ที่เป็นอาคารสูง ไม่มีที่จอดรถ ผู้ใช้บริการเดินเข้ามาได้โดยตรง และเช็คอินได้โดยไม่ต้องพบปะหน้าตากับพนักงานโดยตรง เพราะทุกอย่างล้วนเป็นระบบอัตโนมัติ แต่ต้องล้มเลิกความคิดดังกล่าว เพราะกฎหมายเมืองไทยยังไม่เปิดทางให้ทำ รวมถึงแนวโน้มของโรงแรมม่านรูดเป็นธุรกิจขาลง ปัจจุบันจึงหันไปโฟกัสกับกลุ่มธุรกิจโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ในตระกูล “S” ที่พัฒนาบนถนนสุขุมวิท อาทิ โรงแรม S31 เป็นหลัก ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ให้ผลตอบแทนและสร้างรายได้หลักสัดส่วนถึง 90%

“หอพัก” มาแรงแซง “ม่านรูด”

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจทัศนะคติความเห็นเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ กับกลุ่มตัวอย่าง 1,200 คนทั่วประเทศ ชาย-หญิง อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป พบว่า กลุ่มนักศึกษามีแนวโน้มจะฉลองวันวาเลนไทน์โดยการมีเพศสัมพันธ์กันมากที่สุดถึง 59% รองลงมาเป็นกลุ่มนักเรียน 29% ซึ่งสถานที่วัยรุ่นจะมีเพศสัมพันธ์กันนั้น มากที่สุดจะเป็นหอพัก 34.8% รองลงมาเป็นโรงแรมม่านรูด 23.1% และห้องพักรายวัน 20.5%


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.brandbuffet.in.th วันที่ 14 ก.พ. 62
www.brandbuffet.in.th/2019/02/interview-owner-peep-inn/

Leave a Reply

Or

Your email address will not be published. Required fields are marked *