Thu. Mar 28th, 2024
เดซติเนชั่น

เดซติเนชั่น แคปฯ ตั้งกองทรัสต์ DESCAP1 ไล่ซื้อโรงแรมเข้าพอร์ต

“เดซติเนชั่น แคปปิตอล” สบช่องวิกฤตโควิด-19 ทุบธุรกิจโรงแรมไทยผนึกกำลังหลักทรัพย์ เคทีบี-วันแอสเซส จัดตั้งกองทรัสต์ DESCAP1 มูลค่า 2.5 พันล้านบาท กวาดซื้อโรงแรม 4 ดาวเข้าพอร์ต นำมารีโนเวต-ปรับโพซิชันนิ่งใหม่รอการขายในอนาคต ตั้งเป้าซื้อโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลัก 12-15 แห่งภายในสิ้นปี”64 เผยเป็นโมเดลใหม่ ช่วยให้เกิดการจ้างงาน ต่อลมหายใจธุรกิจโรงแรม ฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในระยะยาว

นายเจมส์ แคพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล จำกัด บริษัทเพื่อการลงทุนและบริหารโรงแรมในเครือเดซติเนชั่น กรุ๊ป เปิดเผย”ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมา 2-3 ปีที่ผ่านมา และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีนี้บริษัทมีความเข้าใจในความเสี่ยงของการลงทุนในธุรกิจโรงแรมของไทย และทำให้นักลงทุนจำนวนมากประสบปัญหาวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมมาถึง 24 ปี ในประเทศไทย เชื่อมั่นว่าหลังจากวิกฤตจบลงตลาดท่องเที่ยวโดยรวมจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น

ตั้ง DESCAP1 ไล่ซื้อโรงแรม

บริษัทจึงมองหาโอกาสลงทุนเพิ่มในธุรกิจโรงแรมเช่นเดียวกับช่วงที่เกิดวิกฤตทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 โรคซาร์สเมื่อปี 2546 สึนามิเมื่อปี 2547 หรือวิกฤตการเมืองเสื้อเหลือง-เสื้อแดงเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาโดย เดซติเนชั่น กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้ตั้งบริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล จำกัด ขึ้นมาเพื่อลงทุนธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเบื้องต้นนี้จะโฟกัสในเมืองไทยเป็นหลัก เนื่องจากเริ่มเห็นว่าธุรกิจโรงแรมที่ไปต่อไม่ไหวและอยากขายออกเป็นจำนวนมาก

บริษัทจึงร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST SEC และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (One Asset Management) ระดมเงินทุนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน ภายใต้ชื่อ DES-CAP1 Private Equity Trust หรือกองทรัสต์ โดยเดซติเนชั่น แคปปิตอลทำหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์โรงแรม และเข้าซื้อกิจการโรงแรมและรีสอร์ตที่มองเห็นว่ามีโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่ม บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี ทำหน้าที่เป็นผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์โดยมี One Asset Management เป็นทรัสตี ต่อลมหายใจธุรกิจโรงแรมไทย

“เดซติเนชั่น กรุ๊ปมองว่าวิกฤตโควิดครั้งนี้สร้างผลกระทบหนักกว่าทุกวิกฤตที่ผ่านมา ประกอบกับตัวผมเองได้เกษียณจากการทำงานที่บริษัทไมเนอร์ฯ จึงชวนผมให้เข้ามาร่วมกอบกู้วิกฤต เพราะส่วนตัวผมมีประสบกาณ์ด้านการบริหารจัดการโรงแรมและรีสอร์ตทั่วโลกมาร่วม 30 ปีเราจึงมองว่าควรช่วยเหลืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมของไทยโดยใช้ความสามารถของเดซติเนชั่น กรุ๊ปที่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และหาโรงแรมเพื่อการลงทุน ทีมพัฒนาโรงแรม ทีมตกแต่ง ทีมบริหารทรัพย์สินโรงแรม ฯลฯ” นายเจมส์กล่าว

และว่า จากวิกฤตโควิดที่ผ่านมาโรงแรมเกือบทั้งหมดปิดให้บริการชั่วคราว หยุดการจ้างงาน ขณะที่ยังต้องแบกรับต้นทุนในอัตราที่สูง จนถึงขณะนี้พบว่าผู้ประกอบการโรงแรมจำนวนมากในประเทศไทย โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักต่างประสบปัญหาและอยากขายสินทรัพย บริษัทจึงได้พยายามทำงานร่วมกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจโรงแรม และทำให้โรงแรมที่กำลังจะปิดตัวถาวรกลับมาเปิดใหม่ และเกิดการจ้างงานอีกครั้ง ที่สำคัญยังเป็นการบอกทั่วโลกด้วยว่าภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกคนจากทั่วโลกแล้ว

ตั้งเป้า 12-15 แห่งในปี 2564

นายเจมส์กล่าวว่า สำหรับกองทุน DESCAP1 Private Equity Trust นี้มีกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่สนใจลงทุนในธุรกิจโรงแรมโดย DESCAP1 ซึ่งเป็นกองทุนแรกนี้มีมูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท ซึ่งการระดมเงินดังกล่าวนี้มีเป้าหมายเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงแรมมาบริหารต่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินทรัพย์เป็นหลักมีระยะเวลาลงทุน 5 ปี และขยายเวลาลงทุนได้อีกไม่เกิน 2 ปี มีผลตอบแทนเป้าหมายที่ 15% ต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายไว้ว่า ภายใน 18 เดือนข้างหน้า หรือภายในปี 2564 บริษัทจะซื้อโรงแรมเข้ามาอยู่ในพอร์ต 12-15 แห่งทั่วประเทศ โดยจะโฟกัสโรงแรมในระดับ 4 ดาว และเป็นโรงแรมที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว 4 เมืองหลัก คือกรุงเทพฯ, พัทยา (ชลบุรี), หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) และภูเก็ต ทั้งนี้ หากได้รับการตอบรับที่ดีบริษัทก็พร้อมที่จะจัดตั้งกองทุน DESCAP2 Private Equity Trust มาดำเนินงานต่อไปอีก

นำแบรนด์จีน-อินเดียมาบริหาร

นายเจมส์กล่าวต่อไปว่า ในแผนดำเนินการนั้นขณะนี้บริษัทมีแผนนำแบรนด์โรงแรมจีนและอินเดียเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งน่าจะเริ่มทยอยเห็นในช่วงต้นปี 2564 นี้ เนื่องจากมองว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงเป็นตลาดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยสูงสุดเป็นอันดับ 1 ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าตลาดนักท่องเที่ยวจีนและอินเดียมีโอกาสในการฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดในโซนอื่น ๆ ที่สำคัญพวกเขาจะมีความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาได้เข้าพักโรงแรมในแบรนด์ที่คุ้นเคย

“ไม่เพียงเท่านี้ เรายังมองว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในเมืองท่องเที่ยวหลักทั้ง 4 เมืองดังกล่าวข้างต้นก็เป็นพื้นที่ที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่าจังหวัดอื่น ๆ ด้วย” นายเจมส์กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังวิกฤตโควิด-19 พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไป โดยมองว่านักท่องเที่ยวจะนิยมรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ท่องเที่ยวกับครอบครัวนิยมเดินทางเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวจะส่งผลต่อการปรับโพซิชันนิ่งและการรีโนเวตโรงแรมในพอร์ตให้สอดรับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในอนาคต

มั่นใจ “ไทย” ฟื้นตัวเร็ว

นายเจมส์กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยในปี 2562 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงราว 40 ล้านคนและคาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ล้านคนในปี 2563 นี้ (ส่วนใหญ่เข้ามาก่อนประเทศปิดน่านฟ้าในช่วงปลายเดือนมีนาคม)และใช้เวลาสักระยะหนึ่งสำหรับการฟื้นตัว แต่จากในอดีตที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวของไทยก็สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้และแข็งแกร่งได้ในเวลาไม่นานนัก ทำให้เชื่อว่าวิกฤตรอบนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยก็น่าจะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้ในเวลาประมาณ 3-4 ปี

“พื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะเวลาไม่นานนัก ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนของเราที่ต้องการถือครองสินทรัพย์ประมาณ5-7 ปีกล่าวคือ หลังจากที่เราซื้อมาบริหารเพื่อให้ธุรกิจโรงแรมสามารถเดินต่อได้ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา เมื่อเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น เจ้าของเดิมมีความพร้อมที่จะซื้อคืน เราก็พร้อมขายกลับให้เจ้าของเดิมไปบริหารต่อ หรือขายให้กองทรัสต์หรือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรืออาจเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน” นายเจมส์กล่าว

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/tourism/news-509808

Leave a Reply

Or

Your email address will not be published. Required fields are marked *