Tue. Apr 23rd, 2024
เชียงใหม่

“เชียงใหม่” ชูโมเดล Bubble&Sealed ต.ค.นี้

หลังจากที่รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ดำเนินการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ภายใต้โมเดล “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อ 1 กรกฎาคม และ “สมุยพลัส” ที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า สุราษฎร์ธานี เมื่อ 15 กรกฎาคม 2564

รวมถึงแผนเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวจากภูเก็ตออกไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ประกอบด้วย เกาะพีพี เกาะไหง อ่าวไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ เกาะยาวใหญ่ เกาะยาวน้อย เขาหลัก จังหวัดพังงา และเกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า สุราษฎร์ธานี ภายใต้โมเดล 7+7 ซึ่ง ศบค.เห็นชอบไปแล้วเมื่อ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา

ล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเติมที่ “เชียงใหม่” ในพื้นที่ 4 อำเภอเป้าหมาย ประกอบด้วย อ.เมือง อ.แม่ริม อ.แม่แตง และ อ.ดอยเต่า

“ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้ดูแลและผลักดันการเปิดพื้นที่เชียงใหม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้ข้อมูลว่า หลังจากนี้ ททท.จะผลักดันการเปิดพื้นที่ที่เป็นภาคพื้นดิน (inland) หลังจากที่โฟกัสพื้นที่เกาะ หรือ island approach ไปแล้ว

สำหรับพื้นที่เชียงใหม่นั้นเบื้องต้นกำหนดไว้ว่าจะเปิดเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 นี้ ในชื่อ CHARMING Chiang Mai ภายใต้คอนเซ็ปต์ Bubble & Sealed โดยให้บริษัทนำเที่ยว หรือ DMC ในพื้นที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถควบคุมและดูแลนักท่องเที่ยวให้อยู่ในพื้นที่ตามที่กำหนดได้

“เดิมทีเดียวเราตั้งเป้าจะเป็นเชียงใหม่ในเดือนกันยายนนี้ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดภายในประเทศยังสูง ทำให้ทางจังหวัดขยับไทม์ไลน์มาเป็น 1 ตุลาคม โดยทุกส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นโรงแรมบริษัทนำเที่ยว ร้านอาหาร สปา สถานที่ท่องเที่ยว สนามกอล์ฟ ฯลฯ เตรียมพร้อมด้าน SOP เรียบร้อย”

ในส่วนของคู่มือปฏิบัติ หรือ SOP นั้น “ธเนศวร์” ระบุว่า เงื่อนไขหลักใกล้เคียงกับภูเก็ตและสมุย อาทิ ฉีดวัคซีนครบโดส 14 วันก่อนเดินทางมีประกันสุขภาพ และประกันโควิดคุ้มครองขั้นต่ำ 1 แสนเหรียญสหรัฐ ชำระเงิน และจองแพ็กเกจทัวร์ โรงแรม ค่าตรวจ RT-PCR ผ่านระบบ SHABA ตรวจหาเชื้อโควิดจำนวน 3 ครั้ง (พัก 14 วัน)

โดยวันแรก (0) ที่เดินทางมาถึงให้พักอยู่ภายในห้องพักเท่านั้น และวันที่ 1 ให้พักอยู่ภายในโรงแรม เมื่อได้ผลตรวจเป็นลบจึงสามารถเดินทางตามโปรแกรมท่องเที่ยวที่กำหนด

ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นนั้น บริษัทนำเที่ยวได้กำหนดแพ็กเกจท่องเที่ยวสำหรับการขายไว้ค่อนข้างหลากหลาย และครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ General Program, Family Program, Golf Program, Health & Wellness Program, Sport Program, Medical Program, Meeting Program เป็นต้น

“ธเนศวร์” บอกด้วยว่า สำหรับพื้นที่เชียงใหม่นั้น ตลาดเป้าหมายหลัก ส่วนใหญ่อยู่ในโซนเอเชีย ประกอบด้วยจีน (ชิงเต่า, ฉงชิ่ง, เฉิงตู, เซี่ยงไฮ้, สิบสองปันนา, ไห่หนาน) ญี่ปุ่น (ฮอกไกโด, โตเกียว) เกาหลี (ซองนัม, กังวัน) ตุรกี (บูร์ซา) อเมริกา (ซานราฟาเอล รัฐแคลิฟอร์เนีย) แคนาดา (โทรอนโต) และอินโดนีเซีย (ยอกยาการ์ตา)

“ปี 2562 ที่ผ่านมา เชียงใหม่มีรายได้จากภาคการท่องเที่ยว 109,057 ล้านบาท แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 68.83% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.18% จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.37 ล้านคน โดยอันดับ 1 เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน รองลงมาคือ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา”

สำหรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้า CHARMING Chiang Mai นั้น “ธเนศวร์” บอกว่า ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนนัก ประเมินเพียงคร่าว ๆ ว่าหากมีเที่ยวบินเข้าวันละ 1 เที่ยวบิน หรือประมาณ 90 คนต่อวัน น่าจะมีรายได้ประมาณ 3.31 ล้านบาทต่อเที่ยวบิน

หากมีเที่ยวบินเข้าประมาณ 2 เที่ยวบินต่อวัน น่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 2,880 คนต่อเดือน และมีรายได้ที่ประมาณ 105.82 ล้านบาทต่อเดือน และหากได้รับการตอบรับที่ดีมีเที่ยวบินเข้ามา 3 เที่ยวบินต่อวัน จะมีนักท่องเที่ยวราว 4,320 คนต่อเดือน และจะสร้างรายได้ที่ราว 158.73 ล้านบาทต่อเดือน

ส่วนจะเป็นไปตามแผนหรือไม่นั้น ตัวแปรสำคัญในขณะนี้คือ แผนการฉีดวัคซีนให้ผู้ประกอบการและคนในพื้นที่เป้าหมาย และแนวโน้มของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศไทย ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยตรง

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/tourism/news-744018

Leave a Reply

Or

Your email address will not be published. Required fields are marked *