Thu. Apr 25th, 2024
โรงแรม

บิ๊กโรงแรมเดินหน้าลงทุน เชื่อมั่นอนาคต “ท่องเที่ยว” สดใส

แม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมถึงประเทศไทย แต่ในมุมของการลงทุนผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมองทุกสถานการณ์เป็น “โอกาส” เสมอ ที่สำคัญ ยังคงเชื่อมั่นว่าภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกจะสามารถกลับคืนมาสดใสได้อีกครั้ง

จากความเชื่อมั่นนี้ ทำให้กลุ่มทุนโรงแรมหลายรายยังเดินหน้าสร้างโอกาสในการเติบโตต่อไป

AWC เร่งพัฒนา รร.ระดับโลก

“วัลลภา ไตรโสรัส” ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แอสเสท เวิรด์ฯ หรือ AWC กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นลงทุนตามแผน โดยล่าสุดได้ลงนามกับแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าบริหาร 4 โรงแรมใหม่ในกรุงเทพฯ และพัทยา ด้วยการนำ 3 แบรนด์โรงแรมระดับโลกมาสู่ย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ และริมชายหาดพัทยา

ประกอบด้วย 1.โรงแรมภายใต้แบรนด์ “ริทซ์-คาร์ลตัน รีเสิร์ฟ” ในพื้นที่โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ 2.โรงแรมเจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์ โฮเทล เอเชียทีค กรุงเทพ ภายใต้

การบริหารของแบรนด์เจดับบลิว แมริออทมาร์คีส์ แห่งแรกของไทย และ 3.โรงแรมดิ เอเชียทีค แบงค็อก, ออโตกราฟคอลเลคชั่น โรงแรมแห่งแรกของไทย ภายใต้แบรนด์ออโตกราฟ คอลเลคชั่น

โดยทั้ง 3 โรงแรมนี้ตั้งอยู่ที่โครงการมิกซ์ยูส ส่วนต่อขยายของโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ จุดหมายท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

ส่วนโรงแรมแห่งที่ 4 คือ โรงแรม อควาทีค พัทยา, ออโตกราฟ คอลเลคชั่นอีกหนึ่งโรงแรมภายใต้แบรนด์ “ออโตกราฟ คอลเลคชั่น” ตั้งอยู่ที่โครงการอควาทีค เดอะบีชฟรอนท์ พัทยา โครงการมิกซ์ยูสซึ่งจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์ระดับไอคอนของพัทยา

“นับเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ AWC เป็นหนึ่งในเจ้าของโรงแรมแบรนด์ในกลุ่มแมริออทฯ รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก (ยกเว้นจีน) ด้วยจำนวนห้องพักรวม 6,636 ห้อง จากโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 9 แห่ง รวมห้องพักทั้งหมด 3,452 ห้อง และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 7 แห่ง ด้วยจำนวนห้องพัก 3,184 ห้อง”

พร้อมย้ำว่า AWC ยังเชื่อมั่นว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังมีอนาคตที่แข็งแกร่งในระยะยาว และการร่วมกับพันธมิตรระดับโลกจะทำให้บริษัทสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีและตอบความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย เพิ่มศักยภาพและโอกาสให้ธุรกิจท่องเที่ยวไทยสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มใหม่ที่หลากหลาย

“ดุสิตธานี” ขยายสู่อินเดีย

สำหรับกลุ่มดุสิตธานีนั้น “ศุภจีสุธรรมพันธุ์” ซีอีโอ บอกว่า อินเดียเป็น 1 ใน 7 ของตลาดชั้นนำของโรงแรมและรีสอร์ตในเครือดุสิตทั่วโลก ปัจจุบันมีชนชั้นกลางในอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีถึง 583 ล้านคนหรือ 41% ของประชากรอินเดีย ภายในปี 2568 กลุ่มดุสิตจึงมองเห็นศักยภาพในการสร้างแบรนด์ระดับหรูและระดับกลางในตลาดที่กำลังเติบโตนี้

บริษัทจึงมีแผนขยายธุรกิจในอินเดีย ด้วยโมเดลรับจ้างบริหารและแฟรนไชส์ในเมืองหลักและเมืองรอง เช่น มุมไบ,เดลี และบังคาลอร์ โดยคาดว่าจะสามารถปิดดีลอีก 4 แห่งใน 12 เดือนข้างหน้า โดยวางแผนเปิดโรงแรมปีละ 2 แห่ง เริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ล่าสุดลงนามในสัญญาแฟรนไชส์กับเจนกรุ๊ป (Jain Group) เพื่อเตรียมเข้าบริหารโรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เซอร์วิส สวีท กัลกัตตา คาดเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 นี้

“แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก แต่เรายังคงมั่นใจว่าอุตสาหกรรมโรงแรมจะฟื้นตัวกลับมาได้ และคาดว่าอินเดียจะกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ในวันที่อุตสาหกรรมกลับมาสดใส”

“เซ็นทารา” ขยับรุกเมียนมา

“ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์” ซีอีโอโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารากล่าวว่า เซ็นทารายังคงขยายฐานโรงแรมไปยังจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในต่างประเทศต่อเนื่อง โดยล่าสุด

ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับบริษัท เอสแอลอินเตอร์เนชั่นแนล คอนสตรัคชั่น จำกัด เข้าบริหารโรงแรม 3 แห่งในเมียนมา ได้แก่ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ติริพะอัน, โรงแรมพะอัน ฮิลล์ท็อป รีสอร์ทและสปา, เซ็นทารา บูทีค คอลเลคชั่นและโรงแรมเซ็นทารา มัณฑะเลย์

“เมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรมท่องเที่่ยวกำลังเติบโตที่รวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เราจึงมุ่งมั่นนำประสบการณ์การบริการที่โดดเด่นของไทยก้าวไปสู่ระดับสากล โดยในช่วง

12 เดือนที่ผ่านมา เซ็นทาราได้ลงนามสัญญาบริหารโรงแรมในเมียนมาไปแล้ว9 แห่ง”

โดยโรงแรมแห่งแรกที่เซ็นทาราลงนามร่วมกับบริษัท เอสแอลฯ จะเปิดให้บริการในปี 2564 คือ โรงแรมเซ็นทราบาย เซ็นทารา ติริ พะอัน ตามด้วย โรงแรมพะอัน ฮิลล์ท็อป รีสอร์ทและสปา เซ็นทารา บูทีค คอลเลคชั่น ส่วนโรงแรมเซ็นทารา มัณฑะเลย์ มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2567

“1 ปีที่ผ่านมา เซ็นทาราได้ลงนามสัญญาบริหารโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มทั้งหมด 6 แห่ง แบ่งเป็น เมียนมา 3 แห่ง,โอมาน 1 แห่ง และเวียดนาม 2 แห่ง ทำให้มีจำนวนห้องพักในเครือเพิ่มอีก 337 ห้อง รวมเป็นทั้งหมด 17,154 ห้อง ภายใต้เครือโรงแรมและรีสอร์ต 81 แห่ง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ”

“ออนิกซ์” จัดทัพผู้บริหารในไทย

“เคร็ก บอนด์” รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ป ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันออนิกซ์ฯมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างกว่า 20 แห่งในจีน, ญี่ปุ่น, ลาว, มาเลเซีย, มัลดีฟส์ และศรีลังกา โดยมีเป้าหมายเป็นบริษัทขนาดกลางด้านการบริหารโรงแรม รีสอร์ตและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพโครงสร้างการบริหารจัดการภายในองค์กรบริษัทได้ประกาศแต่งตั้งผู้จัดการใหญ่ประจำโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย 5 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง

ในแผนการขยายเครือข่ายโรงแรมอย่างต่อเนื่องทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีผลตั้งแต่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1.นายคริสทอป ลีโอนาร์ด ได้กลับมาร่วมงานกับเครือออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป อีกครั้ง โดยเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ประจำโรงแรมโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์กรุงเทพฯ และรับหน้าที่บริหารจัดการโรงแรมใจกลางเมืองที่จะอยู่ภายใต้แบรนด์ใหม่อย่าง ซัฟฟรอน คอลเลคชั่น

2.นายสุขมาล มอนดอล ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ประจำกลุ่มเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ภายใต้แบรนด์ชามา ในกรุงเทพฯ 4 แห่ง

3.นายโทมัส เฮน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ประจำโรงแรมอมารี โวค กระบี่ 4.นายพอล ฮาลฟอร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ประจำโรงแรม

อมารี เกาะสมุย และโอโซ่ เฉวง และ 5.นายริชาร์ด มาร์โก้ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ประจำโรงแรมโอโซ่ ภูเก็ต

ทั้งหมดนี้นับเป็นความมุ่งมั่นที่จะขยายฐานธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องของกลุ่มทุนรายใหญ่ เพื่อก้าวสู่บริษัทพัฒนาและบริหารโรงแรมในระดับโลกกันต่อไป…

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/tourism/news-515457

Leave a Reply

Or

Your email address will not be published. Required fields are marked *