รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯประกาศชัดแล้วว่า ได้เจรจาคืนสิทธิ์โครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” จำนวน 800,000 สิทธิ์ พร้อมคืนงบฯ 4,000 ล้านบาท ให้สภาพัฒน์เรียบร้อยแล้ว คงเหลือไว้ให้บริษัทนำเที่ยวดำเนินการต่อ 200,000 สิทธิ์ ภายใต้กรอบงบประมาณ 1,000 ล้านบาท สิ้นสุดโครงการ 30 เมษายน 2565 นี้
ทั้งนี้ เนื่องจากประเมินแล้วว่า ด้วยสถานการณ์ของไวรัสโควิดที่ยังแพร่ระบาดต่อเนื่อง ทำให้คนไม่นิยมเดินทางท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ หรือเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว (บริษัททัวร์) โดยจะให้น้ำหนักกับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 4 ภายใต้กรอบงบประมาณ 13,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
เอกชนตบเท้าพบ รมว.พิพัฒน์
ประเด็นดังกล่าวทำให้ภาคเอกชนท่องเที่ยวไม่ค่อยพอใจนัก เพราะโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เป็นโครงการเดียวที่ออกมาเพื่อวัตถุประสงค์ช่วยเหลือผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว นับตั้งแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเจอวิกฤตโควิด หรือ 2 ปีเต็ม ๆ
ทันทีที่มีกระแสข่าวตัดลดสิทธิ์โครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) นำโดย “ธนพล ชีวรัตนพร” สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ที่นำโดย “ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร” และสมาคมโรงแรมไทย (THA) นำโดย “มาริสา สุโกศล หนุนภักดี” ได้นัดหมายขอเข้าพบ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ทันทีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอขยายเวลาโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการนำเที่ยว
เปิดทาง “ทัวร์เที่ยวไทย” เฟส 2
“ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์” เลขาธิการสมาคม ATTA กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การหารือดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้แจ้งให้ตัวแทนทั้ง 3 สมาคมรับทราบว่าจำเป็นต้องตัดงบประมาณคืนให้กับกระทรวงการคลัง และเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นไปตามเงื่อนไขของการปิดบัญชีงบประมาณ
และเปิดทางให้นำเสนอโครงการใหม่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือบริษัทนำเที่ยว หรือ “ทัวร์เที่ยวไทย” เฟส 2 โดยถอดบทเรียนจาก “ทัวร์เที่ยวไทย” เฟส 1 ที่ไม่บรรลุเป้าหมาย แล้วเสนอเข้ามาใหม่ เพื่อให้เป็นโครงการที่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างแท้จริงต่อไป
“ประเด็นดังกล่าวนี้ภาคเอกชนท่องเที่ยวต้องกลับมาร่วมประชุมหารือกัน และถอดบทเรียนความล้มเหลวของทัวร์เที่ยวไทย เฟส 1 และนำเสนอโครงการภายใต้เงื่อนไขใหม่ต่อไป” ดร.อดิษฐ์ย้ำ
“กฎ-กติกา” บล็อกจนเดินไม่ได้
“ชำนาญ ศรีสวัสดิ์” ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเด็นสำคัญที่ทำให้โครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” เดินไม่ได้คือ กฎ กติกา ที่รัฐบาลกำหนดไว้นั้นไม่เอื้ออำนวย แถมยังเป็นอุปสรรคสุด ๆ ต่างจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่กฎ กติกาง่ายกว่า แถมยังแจกเงินสำหรับเป็นค่าอาหาร และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน
“ต้องเข้าใจว่ากติกาที่ตั้งขึ้นมาแบบไม่เข้าใจกลไกที่แท้จริงของธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้ไม่สามารถเดินต่อได้ ดันต่อก็ไม่เกิด ซึ่งที่ผ่านมาผมได้สะท้อนและนำเสนอเพื่อการปรับปรุงแก้ไขไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เปิดโครงการมา 3-4 เดือนมีคนใช้บริการไม่ถึง 3 หมื่นสิทธิ์ จึงไม่แปลกที่รัฐบาลประเมินว่าตลอดโครงการ 1 ล้านสิทธิ์ไม่หมดแน่นอน”
“ชำนาญ” ยังบอกด้วยว่า สำหรับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้น ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าการเปิด ๆ ปิด ๆ ให้บริการ และการกำหนดกฎ กติกา แบบไม่เข้าใจกลไกของธุรกิจท่องเที่ยวนั้น ทำให้ทุกคนเจ็บ เรียกว่า เจ็บแล้วเจ็บอีก
แนะทางออก 3 ซีนาริโอ
โดยเสนอด้วยว่า ทางรอดของ “ทัวร์เที่ยวไทย” ในเวลานี้มีแค่ 3 ซีนาริโอประกอบด้วย 1.กรณีรัฐคืนงบประมาณและคืนสิทธิ์ ควรนำเอางบประมาณไปรวมในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 4 โดยเอาทุกสาขาอาชีพขึ้นไปอยู่ในเทียร์ 1 ไม่ว่าจะเป็นแพ็กเกจทัวร์ เช่น วันเดย์ทริป เป็นต้น รถนำเที่ยว เรือนำเที่ยว สปา ฯลฯ ไม่ใช่ให้สิทธิ์เฉพาะธุรกิจโรงแรมเท่านั้น
กล่าวคือไม่ต้องจองโรงแรมก็สามารถได้ส่วนลดซื้อตั๋วเครื่องบิน แพ็กเกจทัวร์ รถ เรือ สปา ฯลฯ ได้ เนื่องจากทุกบริการนั้นผ่านบริษัทนำเที่ยวอยู่แล้ว (ยกเว้นตั๋วเครื่องบิน) และปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว
2.กรณีเดินหน้า “ทัวร์เที่ยวไทย” ต่อ ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน โดยมีเอกชนโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ (สทท.) เข้าไปมีส่วนร่วมในการคิดกลไกการขับเคลื่อน ตั้งกฎ กติกากันใหม่ให้เหมาะกับบริบทของธุรกิจท่องเที่ยว
และ 3.กรณีเปลี่ยนชื่อโครงการ อยากให้ใช้ชื่อโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” ซึ่งเป็นโมเดลที่นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ทำให้ประสบความสำเร็จนั้นมาใช้กับสินค้าด้านการท่องเที่ยวทุก ๆ เซ็กเตอร์ด้วย
“ประเด็นสำคัญที่สุดคือ รัฐบาลควรเปิดทางให้เอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดเงื่อนไข รูปแบบ เพราะที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้มีส่วนร่วมเลย”
“บริษัททัวร์” ทางออกที่ดีที่สุด
นอกจากนี้ ยังอยากเสนอให้รัฐบาลทำความเข้าใจ หรือเปลี่ยน perception ของคำว่า “ทัวร์เที่ยวไทย” และ “เที่ยวผ่านทัวร์” ใหม่ และเลิกคิดว่าคนไม่เที่ยวกับบริษัททัวร์ได้แล้ว เพราะประเด็นที่เข้าใจว่าเที่ยวผ่านทัวร์ไม่เวิร์กนั้นไม่เป็นความจริง หากยังเข้าใจแบบนี้แสดงว่าไม่เข้าใจกลไกของธุรกิจท่องเที่ยว
“ผมยืนยันว่าการเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยว หรือบริษัททัวร์นั้น ยังดีและได้รับความนิยม”
พร้อมยืนยันว่า บริษัททัวร์คือ เครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เพียงแต่ที่ผ่านมาคนใช้ไม่เป็น เหตุผลคือ 1.การเปิดตลาดใหม่ ๆ จำเป็นต้องใช้บริษัทนำเที่ยวในการนำร่องไปทดลองโปรดักต์และบริการ และจัดทัวร์ลงไป
ยกตัวอย่าง เช่น กระกระตุ้นท่องเที่ยวชุมชน ทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์แค่ไหนคนก็ไม่ไป เพราะการเดินทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวซับซ้อน รวมถึงความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยด้วย
2.ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนไปเที่ยวได้เอง หมายความว่าทุกคนที่ไปเที่ยวภูเก็ต หรือเที่ยวกระบี่ พังงา หากต้องการออกไปล่องเรือ ก็จะต้องซื้อทัวร์ เช่น โปรแกรมเที่ยวหลีเป๊ะ 3 วัน 2 คืน เที่ยวกระบี่ 2 วัน 1 คืน ฯลฯ เป็นต้น บริการต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่บริษัททัวร์ไม่มีสิทธิ์ทำอยู่แล้ว
“คำว่าเที่ยวผ่านทัวร์ ไม่ได้หมายความว่านั่งรถบัส มีไกด์พาไปเที่ยว แต่บริบทในวันนี้ทุกคนสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย ฯลฯ จากนั้นไปซื้อบริการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น เดย์ทริปไป 4 เกาะ, เดย์ทริปพายเรือคยัก เดย์ทริปปีนผา หรือฮาล์ฟเดย์ทริปล่องทะเลดูพระอาทิตย์ตก เป็นต้น ซึ่งประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้หลายคนในบ้านเมืองเรายังไม่เข้าใจ”
และระบุด้วยว่า แม้ว่าจะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอยู่ต่อเนื่อง แต่ยืนยันว่าดีมานด์การเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยยังมีสูง เพียงแต่ต้องออกแบบรูปแบบการกระตุ้นให้สอดรับกับการเดินทางบริบทใหม่ และเข้ากลไกใจของธุรกิจเท่านั้น
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ https://www.prachachat.net/tourism/news-847373