แม้ผู้บริหารมักจะไม่ได้เข้าไปดูแลจัดการการออกแบบสื่อโฆษณาหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ของบริษัทโดยตรง แต่เชื่อแน่ว่าผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคิดและออกแบบเหล่านั้นย่อมจะต้องผ่านสายตาของผู้บริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บ่อยครั้งเนื้องานที่ออกมาอาจไมสวยงามถูกใจอย่างที่หวังและทำให้ท่านผู้ประกอบการรู้สึกคันไม้คันมืออยากลงไปช่วยออกแบบด้วยตนเอง ซึ่งนั่นถือเป็นความคิดที่ดีเพราะอย่างน้อยที่สุดทีมงานออกแบบก็จะเข้าใจถึงสิ่งที่บริษัทต้องการ อันที่จริงแล้วแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารกับทีมงานออกแบบลักษณะนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในธุรกิจสมัยใหม่ เพราะการดำเนินธุรกิจในยุคที่โลกหมุนเร็ว การสื่อสารจึงจำเป็นต้องแม่นยำและรวดเร็วที่สุด การที่ผู้บริหารลงไปคลุกคลีกับผู้ปฏิบัติงานโดยตรงจึงถือเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการสื่อสารที่ดีระหว่างทีมงานอย่างใกล้ชิดนั่นเอง
หากกล่าวถึงความรวดเร็วของการสื่อสารในโลกปัจจุบันก็ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่าเร็วจนแทบจะตามกันไม่ทัน สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อโลกของการสื่อสารก็คืออินเทอร์เน็ต หลายปีก่อนมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกันก็แต่เฉพาะธุรกรรมสำคัญๆ เท่านั้น ทั้งการเข้าเว็บไซต์เพื่อดูข้อมูลข่าวสาร รับส่งอีเมล หรือสำหรับโพสต์ถามตอบในกระทู้ที่ตนสนใจ แต่ปัจจุบันเมื่อมีบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กเกิดขึ้น พฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และนับวันโซเชียลเน็ตเวิร์กก็จะยิ่งมีความสำคัญในการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าธุรกิจการท่องเที่ยวเองก็จำเป็นจะต้องใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กมาเป็นช่องทางสำหรับการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำคัญก็คือเมื่ออินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงขึ้น
แต่ราคาค่าบริการต่อเดือนถูกลง กอปรกับอุปกรณ์สื่อสารพกพาอย่างโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ใช้ที่เป็นลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าและบริการได้จากทุกที่ทุกเวลาได้ตามต้องการ ดังนั้น รูปแบบการนำเสนอข้อมูลในเชิงธุรกิจจึงต้องมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ นอกจากจะต้องมีเนื้อหาที่น่าสนใจแล้วยังต้องออกแบบให้สวยงามน่าดูอีกด้วย เพราะเมื่อกลุ่มเป้าหมายเปิดเข้ามาเจอก็จะต้องรู้สึกสะดุดตาสะดุดใจ ชวนให้อ่านหรือชมในทันที เห็นได้ชัดว่า การออกแบบที่ดีย่อมเป็นการทอดสะพานไปสู่ข้อมูลบริการที่ดีของบริษัทได้โดยง่าย
อย่างที่ทราบกันดีว่าข้อมูลเนื้อหาที่นำเสนอผ่านเว็บไซต์และ โซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ได้มีเพียงตัวหนังสือและรูปภาพเท่านั้น วิดีโอก็เป็นอีกหนึ่งประเภทเนื้อหาที่ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจและทำท่าว่าจะได้รับความนิยมในการรับชมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติวิดีโอส่วนใหญ่ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมักจะมาจากการบันทึกด้วยกล้องวิดีโอทั้งกล้องจากโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพดิจิทัล หรือกล้องวิดีโอ ซึ่งผู้ใช้งานทั่วไป (User) คือ กลุ่มหลักที่เป็นผู้อัปโหลดและเผยแพร่ บ่อยครั้งเราก็มักจะเห็นการนำเนื้อหาข่าว โฆษณาหรือภาพยนตร์มาตัดต่อโดยผู้ใช้กลุ่มนี้ ทำให้มีข้อมูลวิดีโออยู่มากมายในสารบบ จนบางครั้งก็อาจทำให้ผู้รับชมรู้สึกว่าเยอะเกินกว่าจะรับชมได้หมด
สำหรับงานวิดีโอแบบพรีเมี่ยมที่ใช้ในเชิงธุรกิจนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง บริษัทย่อมมีความคาดหวังสูงเสมอกับงานวิดีโอ ทุกชิ้นที่ถูกปล่อยออกไปสู่สาธารณะ เพราะเป้าหมายก็คือวิดีโอต้องให้ผลตอบรับในแง่ของการตลาดได้ดี สำคัญไปกว่านั้น วิดีโอที่นำเสนอต้องไม่ส่งผลในแง่ลบต่อบริษัท ดังนั้น องค์กรใด มีพนักงานหรือแผนกด้านวิดีโอโปรดักชั่นโดยตรงอยู่แล้ว ผู้ประกอบการก็ควรที่จะต้องใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่การประชุมผู้เกี่ยวข้องพร้อมสรุปความต้องการทั้งหมดให้เรียบร้อย จากนั้นให้ทีมงานโปรดักชั่นทำสตอรี่บอร์ดมานำเสนอเสียก่อน และจะเป็นการดีมากหากผู้ดูแลโปรเจกต์สามารถลงลึกไปตรวจในเรื่องของสคริปต์ได้ ซึ่งจะทำให้งานที่ออกมามีข้อผิดพลาดน้อยลง ท้ายที่สุดเมื่อได้งานวิดีโอออกมาแล้ว ผู้ประกอบการ จะต้องให้เวลาดูและตรวจสอบเพื่อที่จะนำมาปรับปรุงแก้ไขให้วิดีโอมีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทอยู่หลายแห่งที่ขาดบุคลากรดูแลงานด้านวิดีโอโปรดักชั่น ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องจัดทำวิดีโอ การจ้างทีมงานวิดีโอมืออาชีพจากภายนอกมาช่วยจึงน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม โดยการคัดสรรทีมงานเข้ามาช่วยนั้นจำเป็นจะต้องพิจารณาอยู่หลายประการ โดยมีแนวทาง ดังต่อไปนี้
- ผู้ว่าจ้างต้องดู Portfolio หรือผลงานของทีมงานที่จะว่าจ้างให้เข้าใจในสไตล์ของทีมงานเสียก่อน เนื่องจากแต่ละคนมีแนวทางในการถ่ายทำแตกต่างกัน และหากพิจารณาแล้วพบว่าผลงานเดิมแตกต่างจากสิ่งที่ผู้ว่าจ้างต้องการอย่างสิ้นเชิงก็ ไม่ควรเลือกใช้บริการทีมงานนั้น
- ทีมงานโปรดักชั่นที่ดีต้องมี Contact ที่ชัดเจน เพื่อที่ ผู้ว่าจ้างจะสามารถเช็กดูประวัติการรับงานได้ว่าเคยมีปัญหากับลูกค้าเจ้าอื่นๆ ก่อนหน้านี้หรือไม่
- ราคาค่าใช้จ่ายเหมาะสมหรือไม่ ตรงจุดนี้ผู้ว่าจ้างจะต้องเปรียบเทียบกับทีมงานอื่นๆ อย่างน้อย 3 แห่งขึ้นไปเพื่อที่จะหาราคากลางให้ได้เสียก่อน ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างต้องการบริการ เสริมอื่นๆ เช่น การตัดต่อ แก้ไข บันทึกสื่อ หรือบริการอื่นใด ที่นอกเหนือจากสัญญาว่าจ้าง ทีมงานผู้รับงานก็ไม่ควรที่จะ คิดค่าบริการสูงจนเกินไป
- ต้องมีระยะเวลาส่งมอบงานที่ชัดเจน พร้อมกำหนดความ รับผิดชอบในกรณีที่ส่งมอบงานล่าช้า
- วิธีส่งมอบงาน ส่งมอบให้แบบใด เช่น บันทึกไฟล์วิดีโอลงแผ่น DVD, Flash Drive หรืออัปโหลดขึ้นไปบนอินเทอร์เน็ตให้ลูกค้าดาวน์โหลด
- อย่าลืมโปรโมชั่นลด แลก แจกแถม อื่นๆ ที่ผู้ว่าจ้างควรจะได้รับ
เมื่อตกลงใจปลงใจกันได้ว่าจะจ้าง ในขั้นตอนสุดท้ายสำคัญสุดก็คือเรื่องเอกสารสัญญาว่าจ้าง โดยในรายละเอียดผู้ว่าจ้างจะต้องระบุค่ามัดจำ วันเวลานัดรับงาน เพื่อที่จะได้เก็บไว้เป็นหลักฐานในกรณีที่อาจมีปัญหาเกิดขึ้นในภายหลังนั่นเอง